
indus อินดัส อีกหนึ่งร้านอาหารอินเดียที่รับความนิยมมากสำหรับชาวต่างชาติที่ชื่นชอบอาหารอินเดีย และยังเป็นร้านอันดับต้น ๆ สำหรับชาวไทยที่เริ่มต้นทดลองกินอาหารอินเดีย ทั้งยังรักษามาตรฐานความเป็นอินเดียระดับแนวหน้าของเมืองไทย ที่การันตีความอร่อยและบริการมากมายจากหลายองค์กร
ตัวร้านได้ดัดแปลงมาจากบ้านไม้เก่าที่มีอายุกว่า 40 ปี ตกแต่งได้สวยงามชวนนั่ง ตกแต่งสไตล์บ้านยุค 1960 อาร์ตเดโค มีกลิ่นอายของศิลปกรรมและอารยธรรมอินเดียโบราณทางภาคเหนือมีความหรูหราและโรแมนติกแบบฉบับพระราชวังของอินเดีย ซึ่งจะสังเกตได้จากการตกแต่งภายในทั้งประตูไม้เก่าแก่แกะสลักตามสถาปัตยกรรมอินเดียโบราณ รูปภาพและของตกแต่งอื่นๆ ภายในร้านก็ยกของจริงมาจากประเทศอินเดีย ให้บรรยากาศเหมือนรับประทานอาหารในท้องพระโรง และฝาผนังหินทราย รวมไปถึงการประดับประดาด้วยสิ่งละอันพันละน้อยต่างๆ ที่ล้วนแต่เป็นสัญลักษณ์ของวัฒนธรรมอินเดีย
ร้านอินดัสได้จัดสรรที่นั่งหลายโซนด้วยกัน มีทั้งโซนห้องอาหาร สวนด้านนอก และส่วนของห้องรับจัดงานต่างๆ เรียกว่าตอบสนองความต้องการได้ทุกรูปแบบ ทางร้านรับจัดงานเลี้ยงต่างๆ จัดสังสรรค์ หรือจัดกิจกรรมต่างๆ ซึ่งสามารถรองรับคนได้ประมาณ 250 คน และทางร้านก็มีบริการเดลิเวอร์รี่ จัดส่งอาหารจานอร่อยให้ถึงที่
ร้านอินดัสเชี่ยวชาญการเสิร์ฟอาหารแบบฉบับพระราชวัง โดยเน้นที่อาหารอินเดียตอนเหนือที่มีเอกลักษณ์รสชาติความเผ็ดร้อน และเครื่องเทศที่เข้มข้น มีกลิ่นหอมกว่าอย่างรู้สึกได้ แต่ละเมนูล้วนคัดสรรวัตถุดิบชั้นดีที่สุดมานำเสนอ โดยเฉพาะบรรดาเครื่องเทศที่ถือว่าเป็นหัวใจหลักของอาหารอินเดีย อาศัยการป่นบดด้วยมือเพื่อคงความสดและความหอมที่สุดไว้
ในวันนี้ ได้รับเกียรติไปร่วมงานของร้านอาหารที่มีเชฟอินเดียบินตรงมาจากนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา มาให้เราได้ลิ้มลองกัน ผ่านธีมอาหารชายฝั่งทะเลของอินเดีย อาหารจากคาบสมุทรอินเดีย ชายฝั่งกากัณ, เซตินาถและชายฝั่งมะละบาร์ มีอาหารที่ผ่านการปรุงอย่างพิถีพิถัน ด้วยรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ของความเป็นอินเดียทางตอนใต้ประยุกต์ กับการพรีเซนต์จานอาหาร และการจัดแต่งอาหารแบบยุโรป กับ Chef HARI NAYAK (เชฟฮาริ นายัค) ที่เป็นทั้งเชฟ นักเขียน และนักเดินทางท่องเที่ยว โดยมีเมนูอาหารพิเศษที่นำเสนอในเย็นวันนี้มีอยู่ด้วยกัน 10 รายการ
เริ่มที่เมนูอาหารจานแรก เป็นสตาร์ทเตอร์ กับเมนูอาหารที่มีชื่อว่า “Fish Malu Bun with Organic Uni Butter” เป็นเมนูขนมปังเรียกน้ำย่อย มีใส้ปลาผสมเครื่องเทศ มีกลิ่นของเครื่องเทศบางๆ ทานคู่กับเนยธรรมชาติที่มีส่วนผสมของไข่เม่น หอม มันอร่อยลงตัว
เมนูที่สอง “Rasam Crabpuri” เป็นเมนูที่ปลุกต่อมลิ้น เพื่อกระตุ้นความอยากอาหารเพื่อเตรียมพร้อมกับเมนูอาหารที่จะเสิร์ฟในจานต่อไปได้ดีมาก การนำเสนอค่อนข้างแปลก ดูเหมือนง่ายแต่ไม่ง่าย ลูกกลมๆเหมือนลูกบอลทรงกลมทำมาจากแป้งข้าวบางๆ กระเทาะอัดใส้เนื้อปูฝอยผัดเนย กระเทียม และมะพร้าว วิธีการทานคือทานทีละอย่างลงเข้าไปในปากแล้วซดน้ำแกงคอนซอมเม่ต์ซุปมะเขือเทศและถั่วเลนทิลรสเผ็ดนิดๆ รสชาติคล้ายต้มยำ เปรี้ยวๆ ผสมอยู่ในปากอร่อยดี
เมนูที่สาม “Arbi Rawa Fry” ทำมาเหมือนแพนเค้กที่ทำด้วยแป้งสาลี Semolina คลุกเคล้าด้วยเผือก พร้อมด้วยเครื่องเทศสูตรเฉพาะ นำมาปั้นเป็นทรงแบนๆ ไม่หนามาก แล้วก็ไม่มีน้ำมัน กรอบนอกนุ่มใน รสชาติเบาคิดว่าทำมาเพื่อให้ตัดกับรสเปรี้ยวเผ็ดร้อนของจานที่ผ่านมา
เมนูที่สี่ เสิร์ฟมาอย่างต่อเนื่องกับ “Gunpowder Scallop” หอยเชลล์ตัวโต ไม่มีกลิ่นคาว นำมาปรุงรสกับผงเครื่องแกงและซอสที่เป็นสไตล์ร่วมสมัย กริลล์ได้ระดับความสุกพอดิบพอดี โรยด้วยเครื่องเทศที่เป็นผงพริกอบแห้ง ทานคู่กับดอกกะหล่ำบดเนื้อเนียน ราดด้วยซอสแกงกะทิสไตล์อินเดีย ด้วยวัตถุดิบที่ดีงามอย่างหอยเชลล์ การพรีเซนต์อาหารสวยงาม แต่ยังคงความเป็นอินเดียไว้อยู่ โดยส่วนตัวแล้วชอบกันเมนูนี้เป็นที่สุด ทานง่ายละมุนลิ้น
เมนูที่ห้า “Ghee Roast Chicken” เนื้อไก่ส่วนน่องและสะโพกนุ่มๆที่นำมาหมักด้วยเครื่องเทศอินเดียสูตรพิเศษที่มีพริกแดง มะขาม และน้ำมันเนย แล้วนำไปอบให้สุก มีกลิ่นหอมเย้ายวนใจ ทานคู่กับสลัดถั่วบดและผักดอง มาถึงตรงนี้ก็ครึ่งทาง ท้องเริ่มตึงกันแล้วแต่ก็ยังอยากลองอาหารอินเดียอยู่
เมนูที่หก “Prawn Gassi” กุ้งตัวใหญ่ที่มาปรุงด้วยกระเทียม พริกเขียว แล้วนำไปย่างให้สุกในระดับที่พอดีทำให้เนื้อกุ้งมีความเด้งหนึบหนับ หวาน แล้วหั่นออกมาพอดีคำ ราดด้วยซอสแกงกะทิอย่างดีจากเมือง Mangalore นำเข้ามาจากประเทศอินเดีย บีบมะนาวลงบนตัวกุ้งทำให้รสชาติป๊อปขึ้นมาอีก ทานคู่กับแป้งเครปสไตล์อินเดียตอนใต้ที่เป็นบ้านเกิดของเชฟฮาริ เหมือนขนมปากหม้อแต่ไม่เหมือนซะทีเดียว ตัวแป้งนุ่มและเบา อร่อยเข้ากันได้ดีมาก
เมนูที่เจ็ด “Meen Pollichathu” ซึ่งตอนแรกนึกว่าเป็นห่อหมกแต่ที่ใหนได้เป็นเนื้อปลากะพงหมกผงเครื่องเทศพริกเขียวแบบผงมาซาลาและน้ำมะขาม ห่อในใบเตยแล้วนำไปย่างไฟให้สุกพอดี เมื่อได้แกะห่อใบตองหอมเครื่องแกงมาก รสชาติออกเปรี้ยวๆ ของน้ำมะขาม
เมนูที่แปดแล้วเริ่มอิ่มเต็มที่ เกือบทานไม่หมดกับจานนี้ “Malabar Aleesa + Kothu Parotta” เป็นสตูว์เนื้อแกะแบบอินเดียตอนเหนือ แต่มาผสมผสานกันในแบบอินเดียตอนใต้ ผ่านกรรมวิธีการปรุงสุกแบบช้าๆ ตกแต่งด้วยโฟมกะทิสวยงาม รสชาติอร่อย หอมเครื่องเทศเบาๆ ทานคู่กับแป้งผัดเนื้อแกะและไข่ ให้รสชาติเค็มๆ มันๆ เนื้อแกะอาจกระด้างไปนิดแต่โดยรวมแล้วอร่อยเลย
เมนูอาหารสุดท้ายกับของหวาน “Tender Coconu Payasam” ซึ่งเป็นขนมหวานที่หน้าตาละม้ายคล้ายเหมือนกับ “ขนมไส่ใส้ห่อใบตอง” แต่ไม่ใช่เพราะทำมาจากแป้งข้าวเหนียวกะทิสไตล์อินเดีย ทานคู่กับซอสคาราเมลที่ราดอยู่บนจาน และกะทิข้นสูตรเฉพาะของเชฟที่ข้นและมัน นับว่าเป็นการตบท้ายที่เอร็ดอร่อยอย่างมาก
ข้อมูลทั่วไปของ indus อินดัส ร้านอาหารอินเดีย สุขุมวิท 26
- สถานที่ตั้ง : 71 ถนนสุขุมวิท 26, ถนนสุขุมวิท, คลองเตย, กรุงเทพมหานคร 10110
- เบอร์โทรศัพท์ : 02 258 4900 / บริการเดลิเวอร์รี่ : 0-2669-4633
- วันเวลาเปิด-ปิด : เปิดบริการทุกวัน โดยแบ่งเป็น 2 ช่วงคือ ช่วงกลางวัน เปิดเวลา 11.30 – 14.30 น. / ช่วงค่ำ เปิดบริการเวลา 18.00 – 23.00 น. / สำหรับโซนอินดัสบาร์จะเปิดบริการถึง 01.00 น.
- เว็บไซต์ : www.indusbangkok.com/
- เฟสบุ๊ค : https://www.facebook.com/indusbkk/
- พิกัด : 13.7237651,100.5700577
การเดินทาง :
- ร้านอินดัส ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท ซอย 26 ใกล้หัวมุมโรงแรมโฟร์วิงส์ ฝั่งถนนพระราม 4 หากเดินทางโดยรถไฟฟ้าบีทีเอส ให้ลงที่สถานีพร้อมพงษ์ แล้วต่อรถเข้าซอยสุขุมวิท 26 ร้านจะอยู่ทางซ้ายมือ
ที่จอดรถ :
- จอดรถได้ที่บริเวณด้านหน้าของร้าน